จากกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง โพสต์ทวิตเตอร์ หรือแพลตฟอร์ม X วิงวอนอยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) นัดพิเศษ เพื่อลดดอกเบี้ยนโยบายลง ก่อนการประชุมนัดปกติในเดือนเม.ย.นี้คำพูดจาก ทดลองเล่นสล็อตทุกค่ายไม่ต้องสมัคร
ทั้งนี้ จากการสืบค้นข้อมูลของแบงก์ชาติ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คณะกรรมการ กนง. มีการประชุมนัดพิเศษมาแล้ว 1 ครั้ง ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศไทยต้องเจอกับการแพร่ระบาดของโควิด-19คำพูดจาก ทดลองปั่นสล็อต
โดยการประชุม กนง.นัดพิเศษครั้งนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 มี.ค.2563 และได้มีมติเป็นเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 เสียงให้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 1.00% เหลือ 0.75% และยังถือเป็นจุดเริ่มต้นของดอกเบี้ยขาลงในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้ดอกเบี้ยไทยในช่วงโควิดแตะระดับต่ำ 0.50%
ก่อนที่ดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นอีกครั้งในวันที่ 10 ส.ค.2565 ทยอยปรับขึ้นครั้งละ 0.25% จนอยู่ระดับสูงสุดในปัจจุบัน 2.50% โดยการประชุม กนง.นัดปกติล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ก.พ.2567 ได้คงดอกเบี้ยไว้ด้วยเสียงไม่เอกฉันท์ 5 ต่อ 2 เสียง
อย่างไรก็ตาม การประชุม กนง.นัดพิเศษ เมื่อวันที่ 20 มี.ค.2563 คณะกรรมการ กนง.มีเหตุผลถึงการลดดอกเบี้ยในครั้งนั้น ระบุว่า คณะกรรมการฯ เห็นว่าการระบาดของ COVID-19 ในระยะข้างหน้ารุนแรงกว่าที่คาดไว้เดิม รวมทั้งจะใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าที่จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ การระบาดที่เกิดขึ้นได้สร้างความกังวลให้กับตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก ซึ่งที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและกลไกการทำงานของตลาดการเงินไทย แม้ว่าระบบการเงินไทยโดยรวมยังมีเสถียรภาพ
คณะกรรมการฯ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.00% เป็น 0.75% ต่อปี โดยให้มีผลในวันที่ 23 มีนาคม 2563 เพื่อลดภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ บรรเทาปัญหาสภาพคล่องในตลาดการเงิน และลดผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งจะช่วยสนับสนุนมาตรการการคลังของรัฐบาลที่ได้ออกมาแล้วและจะออกมาเพิ่มเติม
คณะกรรมการฯ เห็นว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งที่ผ่านมาและในครั้งนี้จะเกิดผลต่อระบบเศรษฐกิจก็ต่อเมื่อสถาบันการเงินจะต้องมีบทบาทเชิงรุกในการช่วยแก้ปัญหาสภาพคล่องของลูกหนี้ โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs และประชาชน รวมทั้งการเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้เกิดผลอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม จึงขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยติดตามการช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงินแต่ละแห่งอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยดูแลสภาพคล่องและกลไกการทำงานของตลาดการเงินเพื่อให้มั่นใจว่าตลาดการเงินมีเสถียรภาพและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ